วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาของเกียร์ออโต้(2)

ก่อนที่จะไปพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกียร์ ผู้ใช้รถต้องแน่ใจว่าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งสามารถที่จะตรวจสอบด้วยตนเองง่ายๆ โดยการติดเครื่องทิ้งไว้ที่รอบเดินเบาให้อุณหภูมิของเครื่องอยู่ในเกณฑ์ทำงาน คันเกียร์อยู่ในตำแหน่ง P หรือ N

สังเกตที่เกจ์วัดรอบความเร็วของเครื่องต้องนิ่งสนิทไม่แกว่งขึ้นลง เครื่องยนต์ไม่มีอาการสะดุดหรือสั่น เปิดแอร์ตามปกติเกจ์วัดรอบเครื่องต้องไม่ตกลงต่ำหรือขึ้นสูงมากเกินไป พร้อมทั้งหมุนพวงมาลัยจากขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา สังเกตรอบเครื่องยนต์ ต่อมาเปิดไฟหน้าอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด แล้วตรวจดูรอบเครื่อง จากเกจ์วัดรอบเครื่องอีกครั้ง
 จากนั้นเร่งเครื่อง (ตัวเปล่า เกียร์จอดP หรือเกียร์ว่างN และเข้าเบรกมือ) หรือเบิ้ลเครื่อง ดูการตอบสนองของเครื่องยนต์ ปล่อยคันเร่งปล่อยให้เครื่องอยู่ในรอบเดินเบาแล้วเร่งเครื่องยนต์ไปที่รอบเครื่องสูงสุด ดูการไหลลื่นของเครื่องยนต์ ดูการสะดุด การอั้น(เร่งไม่ขึ้น) ของเครื่องยนต์
 หลายครั้งที่รถไม่มีแรงเร่งไม่ขึ้น ปลายไม่มี เกิดจากหม้อพักไอเสียตัน ตัวแคต Catalytic converter (กรองไอเสีย) ตัน
ในขั้นตอนเหล่านี้ถ้ารอบเครื่องผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็นก็ต้องรีบแก้ไขให้เครื่องยนต์หรือระบบอื่นที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แล้วจึงไปพิจารณาถึงปัญหาที่จะเกิดกับเกียร์ออโต้โดยตรง ควรจะจำให้ขึ้นใจครับว่าเกียร์ทำงานได้จากการทำงานของเครื่องยนต์ เครื่องดีเกียร์จะไม่มีปัญหา
 ปกติแล้วเกียร์ออโต้จะมีปัญหาจุกจิกน้อยมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเกิดเมื่อชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้นในห้องเกียร์หมดอายุการใช้งานและเกือบทั้งหมดอาการที่บ่งบอกว่าเริ่มมีปัญหาจะเกิดขึ้นหลังจากการใช้งานไปแล้วมากกว่าหนึ่งแสนกิโลเมตร
และ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งขาดการบำรุงรักษาที่ดี ถ้าใช้ถูกต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลา ใช้น้ำมันเกียร์ที่ถูกเกรด เครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ตามที่ควรจะเป็น เกียร์ออโต้ลูกหนึ่งจะต้องเข้าซ่อมก็ผ่านหลักสามแสนกิโลไปแล้ว 
อย่างไรก็ตามบางครั้งเกียร์ออโต้ ก็มีปัญหาก่อนถึงวัยอันควร อาการบ่งบอกว่ามีปัญหานั้นถ้าผู้ใช้รถหมั่นสังเกตก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง สัปดาห์หน้า ผมจะมาบอกวิธีการสังเกตอาการและปัญหาของเกียร์ออโต้ด้วยตัวเองครับ

การสังเกตปัญหาเกียร์ออโต้(จบ)

ปีหนึ่งๆ เราใช้รถนับพันกิโลเมตร ทำให้เกียร์ที่ทำงานหนักอาจจะมีปัญหาได้ ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ทราบว่าอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ่งบอกถึงเกียร์ที่กำลังมีปัญหา ดังนั้น เรื่องเกียร์ในสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย ผมนำอาการของเกียร์ออโต้ที่บ่งบอกว่ามีปัญหามาอธิบาย

เข้าเกียร์แล้วรถไม่ค่อยอยากจะออกตัว
อาการรถไม่ออกตัว โดยเฉพาะในเกียร์ D และหรือเกียร์ R อาการนี้หลายครั้งที่ ได้รับแจ้งจากผู้ใช้ ว่ารถไม่ค่อยวิ่ง สาเหตุเกิดขึ้นจาก น้ำมันเกียร์ มีปริมาณไม่ถูกต้อง เช่น น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ถ้าพูดง่ายๆ ก็เกิดจากการขาดการดูแลตรวจตรา เพียงแค่เติมน้ำมันให้ได้ระดับที่ถูกต้องก็สามารถที่จะใช้งานได้ตามปกติ
แต่อาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับรถที่มีระยะการใช้งานมากกว่าแสนกิโลเมตรขึ้นไปและผ่านการดูแลบำรุงรักษาตามปกติตลอดเวลา ก็จะเกิดจากการสึกหรอภายในเกียร์ เช่น ชุดผ้าคลัตช์ ชุดวาล์ว ควบคุมแรงดัน การแก้ไขเป็นเรื่องใหญ่โตเสียเงินกันมาก เพราะต้องยกเกียร์ออกมาผ่าหรือเรียกว่าโอเวอร์ฮอล์เกียร์กันเลยทีเดียว
เข้าเกียร์ D หรือ R แล้วกระตุกหรือกระชาก
ปัญหานี้เช่นกันมักจะเกิดจากผู้ใช้รถไม่ตรวจสภาพและปริมาณน้ำมันเกียร์ หรือปริมาณน้ำมันเกียร์มากกว่าปกติ น้ำมันเกียร์ไม่ได้เปลี่ยนถ่ายตามปกติ และที่เกิดขึ้นง่ายๆ ก็คือออกรถในขณะที่อุณหภูมิของเครื่องยนต์ไม่ถึงเกณฑ์ทำงานปกติ พูดได้ว่าออกรถในขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่ หรือเมื่อใช้งานไปแล้ว (เครื่องร้อนแล้ว) แต่น้ำมันเกียร์ยังไม่ถึงอุณหภูมิที่ถูกต้อง (เกียร์เย็น) หรือน้ำมันเกียร์ร้อนเกินกว่าที่กำหนด การแก้ไขต้องเริ่มที่ตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์รวมทั้งคุณภาพของน้ำมันเกียร์  ตามด้วยการตรวจเช็กระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ และน้ำมันเกียร์  หรือในเกียร์ออโต้รุ่นแรกๆ รวมทั้งที่ยังไม่มีระบบไฟฟ้าควบคุมมากมายนัก ก็ตรวจหรือปรับตั้งที่สายเกียร์
เกียร์เปลี่ยนเร็ว หรือช้ากว่าปกติ
 อาการนี้เกิดจากการปรับตั้งสายเกียร์ที่ไม่ถูกต้อง (ในรุ่นที่มีสายเกียร์) แก้ไขโดยการปรับตั้ง ในรุ่นที่ควบคุมระบบไฟฟ้า เคลียร์เมมโมรีของสมองเกียร์ (Transmission Control Module) หรือตรวจสอบวาล์วควบคุมทางเดินน้ำมันด้วยไฟฟ้า น้ำมันเกียร์ มากหรือน้อยเกินไป รวมทั้งน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ แก้ไขด้วยการเติมหรือเดรนส่วนที่เกินออกหรือเปลี่ยนน้ำมันเกียร์การอุดตันของทางเดินน้ำมันเกียร์ในสมองเกียร์ (Valve body) แก้ไขด้วยการถอดสมองเกียร์ (โดยช่างที่ชำนาญ) ออกมาล้างทำความสะอาด มีการรั่วซึมภายในระบบเกียร์ของชุดเกียร์ต่างๆ เช่น แหวนกันน้ำมัน ลูกสูบวาล์ว (ลิ้นปิดเปิด ทั้งแบบกลไก และหรือไฟฟ้า)

เกียร์สุดท้ายไม่มีและหรือไม่มีคิกดาวน์
 อาการไม่มีคิกดาวน์ถ้าเกิดขึ้นหลังจากการซ่อมเกียร์ (ผ่าเกียร์) เกิดจากการประกอบผิดพลาด ชิ้นส่วน (แหวนกันน้ำมัน โอริงกันน้ำมัน) ฉีกขาด ใส่กลับทาง ใส่ไม่ครบ แต่ถ้าเกิดจากการใช้งานมานานแล้วยังไม่เคยผ่านการซ่อมมาก่อนจะเกิดจากการรั่วซึมภายใน ก็ต้องผ่าเกียร์ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย
ออกตัว ต้องเร่งเครื่องใช้รอบสูงๆ
 อาการนี้แม้ว่าจะวอร์มเครื่องก่อนออกรถแล้วก็ตาม แก้ไขโดยตรวจระดับน้ำมันเกียร์และคุณภาพของน้ำมันเกียร์  ถ้าน้ำมันเกียร์ถูกต้อง เกิดจากผ้าคลัตช์ในชุดเกียร์สึกหรอเสื่อมสภาพ แก้ไขโดยการยกเกียร์ผ่าเกียร์เปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอครับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกียร์ออโต้จากประสบการณ์ดูเหมือนจะมีอยู่เท่านี้ 
 ปัจจุบันเกียร์ออโต้ที่ติดตั้งมาในรถรุ่นใหม่ๆ มีรูปแบบหรือเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้ผลิตเช่นเกียร์ CVT (Continuous Variable Transmission ) หรือเกียร์ลูกข่างหรือเกียร์โซ่ เป็นเกียร์ออโต้แบบใหม่ที่ชิ้นส่วนภายในและระบบการทำงานภายในแตกต่างจากเกียร์ออโต้ทั้งหมดที่กล่าวมาอย่างสิ้นเชิง และเริ่มมีใช้กันแพร่หลายในบ้านเรา ในรถเก๋งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในบางยี่ห้อ  มีรายละเอียดของการทำงานและชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย ที่จะใช้โอกาสอื่นในการนำเสนอ
อย่างไรก็ตามในด้านของผู้ใช้รถแล้วการใช้ (การขับ) การดูแลบำรุงรักษาก็ไม่ต่างไปจากเกียร์ออโต้ที่กล่าวมาทั้งหมด
ขอบคุณ ที่มา ผุ้ให้ข้อมูล 

น้ำมันเกียร์ออโต้/น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ

น้ำมันเกียร์ออโต้ หรือเรียก น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับกระปุกเกียร์แบบอัตโนมัติ ประกอบด้วยน้ำมันล่อลื่นชนิดพิเศษ และสารเติมแต่งหลายชนิด อาทิ สารปรับสภาพความหนืด สารป้องกันการกัดกร่อน และการทำปฏิกิริยาของออกซิเจน สารต้านการเกิดฟอง สารเพิ่มแรงกด เป็นต้น
หน้าที่ของน้ำมันเกียร์
1. ถ่ายกำลังจากปั๊มไปยังกังหันในทอร์คคอนเวอร์เตอร์
2. ถ่ายพลังไฮโดรลิคไปควบคุมการทำงานของคลัตซ์ และอุปกรณ์ภายในกระปุกเกียร์
3. ถ่ายเทความร้อนจากกระปุกเกียร์ออกสู่ภายนอก
4. ล่อลื่นแบริ่ง คลัตซ์ เฟือง บุช และอุปกณ์ส่วนอื่นๆภายในกระบุกเกียร์
5. ป้องกันการสึกกร่อนของโลหะภายในกระปุกเกียร์
คุณสมบัติน้ำมันเกียร์
1. ไม่ทำปฏิกิริยาหรือกัดกร่อนวัสดุในกระปุกเกียร์ เช่น โลหะ ยาง พลาสติกหรือวัสดุอื่นๆ
2. ไม่ติดไฟ ไม่เสื่อมสภาพ และทนต่อความร้อนได้สูง
3. ป้อกันการเกิดสนิม ป้องกันความชื้น อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟองตามมา
4. ไม่มีความหนืดมาก มีลักษณะใสที่อุณหภูมิต่ำ สามารถแทรกซึมผ่านวาล์วหรือช่องว่างต่างๆได้
เกียร์อัตโนมัติ
ชนิดน้ำมันเกียร์ออโต้
1. น้ำมันเดกซ์รอน II โดยจะลื่นมากกว่าน้ำมันเดกซ์รอน F ทำให้เมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์จะรู้สึกนิ่มมากกว่า
2. น้ำมันเดกซ์รอน F เหมาะสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบล๊อกของทอร์คคอนเวอร์เตอร์เพื่อป้องกันการลื่นของคลัตซ์ เป็นน้ำมันเกียร์ที่เพิ่มประสิทธิภาพทางความฝืดสูง
ตัวอย่างคุณสมบัติน้ำมันเกียร์อัตโนมัติเอกิป (Agip F-1 ATF Dexron)
1. ความข้นใส (cSt)
– ที่ 210 องศาฟาเรนไฮด์ : 7.5
– ที่ 100 องศาฟาเรนไฮด์ : 42
2. ความข้นใสแบบบรุ๊กฟิลด์ (cP)
– ที่ -40 องศาฟาเรนไฮด์ : 45000
– ที่ -10 องศาฟาเรนไฮด์ : 3500
3. ความข้นใสแบบ ASTM D2270 : 160
4. จุดวาบไฟ : 180 องศาเซลเซียส
5. จุดไหลเท : -40 องศาเซลเซียส
6. สี: สีแดง
7. ความถ่วงจำเพาะที่ 15 องศาเซลเซียส :0.885
ตัวอย่างน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
1. ATF Dexron II ใช้สำหรับเกียร์อัตโนมัติของรถยนต์ทั่วไป และใช้สำหรับเกียร์ผ่อนำกำลัง
2. โดแนกซ์ TM ใช้สำหรับเกียร์อัตโนมัติ เกียร์ธรรมธรรมดา เกียร์รถบรรทุก เครื่องจักรหนัก
3. โดแนกซ์ TT ใช้สำหรับระบบเกียร์ไฮดรอลิกเฟืองท้าย และระบบ wet brak รถแทรกเตอร์ในการเกษตร
4. โดแนกซ์ TF ใช้สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติรถยนต์ทั่วไป สำหรับประเภท Type F หรือ Type G
5. แทรกเซิล ใช้สำหรับระบบเกียร์ไฮดรอลิกเฟืองท้าย และระบบเบรกที่จุ่มในน้ำมัน สำหรับรถแทรกเตอร์การเกษตร
ระบบหล่อเย็นน้ำมันเกียร์
กระปุกเกียร์จะถูกติดแน่นกับเครื่องยนต์ทำให้ได้รับความร้อนบางส่วนจากเครื่องยนต์ แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นส่วนมากจะมากจากภายในกระปุกเกียร์เอง ที่เกิดขึ้นขณะทอร์คคอนเวอร์เตอร์สลัดน้ำมันเกียร์จากปั๊มเข้าสู่กังหัน และไหลกลับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนขึ้น
ดังนั้น เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้น กระปุกเกียร์จะมีระบบหล่อเย็นน้ำมันเกียร์ที่ประกอบด้วยท่อส่งผ่านน้ำมันเกียร์ไปยังหม้อน้ำที่เป็นรังผึ้งไหลเวียนผ่านน้ำที่เป็นตัวช่วยลดความร้อน และไหลกลับเข้าสู่กระปุกเกียร์
การตรวจน้ำมันเกียร์
เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำเครื่องจะต้องได้รับการตรวจสอบระดับน้ำมันเกียร์ และสภาพของน้ำมันเกียร์ทุกครั้ง
1. การตรวจระดับน้ำมันเกียร์
– การตรวจระดับน้ำมันเกียร์จะต้องตรวจในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานอยู่ โดยสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที
– ปลดคันเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งจอด P และดึงเบรกมือให้รถจอดนิ่ง
– ทำความสะอาดรอบๆบริเวณก้านวัด พร้อมดึงก้านวัดขึ้นมาเช็ดทำความสะอาด
– ทำการเสียก้านวัดให้เข้าในระดับตำแหน่งเดิม
– ดึงก้านวัดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมสังเกตระดับน้ำมันเกียร์ที่เป็นรอยคราบของน้ำมันที่ก้านวัด
– ระดับก้านวัดจะมีรอยปิ่น 4 รอย คือ 2 รอยล่าง แสดงระดับขณะเครื่องเย็น และ 2 รอยบน ขณะเครื่องร้อนหรือเครื่องยนต์ทำงาน
– ระดับน้ำมันเกียร์ที่พอเหมาะจะต้องอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าขีดล่างของเครื่องร้อนหรือไม่ต่ำกว่าขีดที่ 3 นับจากล่างขึ้นบน
– หากระดับต่ำกว่าขีดที่ 3 แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ไม่เพียงพอจะต้องเติมให้เต็มถึงรอยที่ 4
ระดับน้ำมันเกียร์ที่ต่ำเกินไปจะทำให้เกิดการดูดอากาศเข้าห้องเกียร์ หากระดับสูงเกินไปจะสูบออกเพราะทำให้สินเปลืองน้ำมันเกียร์
2. การตรวจสภาพน้ำมันเกียร์
โดยปกติน้ำมันเกียร์ที่ยังไม่ได้ใช้งานจะมีสภาพสีเหลืองใสหรือสีออกแดงใส หากใช้งานไปนานๆหรือมีสภาพของกระปุกเกียร์มีปัญหาจะทำให้น้ำมันเกียร์มีลักษณะสีน้ำตาลหรือสีดำข้น ซึ่งจะเปลี่ยนถ่ายใหม่
น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพที่เกิดจากปัญหาของกระปุกเกียร์อาจเกิดจากหลายกรณี ได้แก่
– มีฝุ่นผงของแผ่นเบรคเบรนหรือแผ่นคลัตซ์ผสม จนไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆทำให้ระบบน้ำมันไฮโดรลิคอัดตัวแน่นกับเสื้อลิ้น เมื่อเข้าเกียร์จะทำให้เกิดเสียง
– การมีน้ำหล่อเย็นไหลเข้าห้องเกียร์จะทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ และเน่าเสียเร็ว ซึ่งสังเกตได้จากการแยกชั้นของน้ำกับน้ำมัน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ใหม่ และทำความสะอาดกระปุกเกียร์ทั้งหมด
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะทำทุกๆระยะทางวิ่ง 10000 กิโลเมตร
ขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูล 



7 สัญญาณ ที่บอกว่าเกียร์คุณ...อาจจะกำลังกลับบ้านเก่า

เกียร์ไม่เข้าตามตำแหน่ง
                เมื่อคุณขับรถแล้วรู้สึกว่าการเข้าเกียร์บางตำแหน่งเป็นไปได้ยาก นั่นเป็นสัญญาณหนึ่งที่สำคัญ ที่บอกเรื่องอายุไขของเกียร์ได้ แม้เรื่องนี้อาจจะเกิดในระบบเกียร์ธรรมดามากกว่า แต่ก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยเช่นกัน ซึ่งในบางครั้งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค ตั้งแต่น้ำมันเกียร์มีปริมาณต่ำกว่าที่กำหนด รวมถึง อาจะหมายถึงคุณใช้ความหนืดผิดจากที่กำหนด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของชุดเฟืองในเกียร์ ถ้าตรวจสอบแล้วถูกต้องก็เตรียมพร้อมซ่อมเกียร์ได้เลย

กลิ่นไหม้จากเกียร์
                เมื่ออะไรก็ตามจะพังมันมักจะมีกลิ่นไหม้อย่าทำตัวคุ้นเคยกับมัน เพราะ เมื่อมีกลิ่นไหม้มันไม่ใช่สัญญาณที่ดี กลิ่นไหม้โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อชุดเกียร์มีความผิดปกติ เกียร์ทำงานหนัก ทำให้น้ำมันบางส่วนถูกเผาไหม้และกลายเป็นกลิ่นออกมาเตือนคุณ ถ้ามีกลิ่นไหม จงจำไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย

เสียงไม่พึงประสงค์
                ข้อสังเกตเรื่องเกียร์อย่างหนึ่งคือเสียง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงจอดรถเข้าเกียร์ว่างหรือ  N  หากรถคุณเป็นเกียร์อัตโนมัติจากนั้น คอยเงี่ยหูฟังเสียงคล้ายเหล็กกระทบกันดู ถ้ามีเสียงให้รีบตรวจสอบทันที เพราะการมีเสียงอาจหมายถึงมีชิ้นส่วนบางอย่างกำลังสึกหรอ อาจจะเป็นตัวฟันเฟืองเกียร์เอง หรือกระทั่งพวกลูกปืนต่างๆ ซึ่งจะมีเสียได้ถ้า มันอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
เกียร์ลื่น..
อาการนี้มักเจอในระบบเกียร์ธรรมดา ลองนึกดูว่ามีไหมที่คุณขับรถอยู่ดีๆ  ปรากฏว่าเกียร์ที่เข้าตามตำแหน่งถูกเลื่อนออกมาที่ตำแหน่งเกียร์ว่างเอง  ซึ่งในเกียร์อัตโนมัติเองก็อาการคล้ายๆกัน แต่จะเห็นชัดมากกว่าตอนที่คุณเร่ง เช่นใช้คันเร่งเท่าเดิม แต่ใช้เวลามากขึ้น หรือรถไม่ค่อยวิ่งทั้งที่เร่งเต็มพิกัด อาการเกียร์ลื่นเอง มักมีสาเหตุจากน้ำมันเกียร์อยู่ในระดับต่ำเกินไป บางครั้งอาจะมีส่วนมาจากคลัทช์ลื่น หรือผ้าคลัทช์เหลือน้อยด้วย

คลัทช์ติด
                อาจจะไม่เกี่ยวกับตัวชุดเกียร์โดยตรงและมักเป็นมากในรถยนต์เกียร์ธรรมดา แต่อาการคลัทช์ติดเกิดขึ้นได้กับคุณ โดยเฉพาะคนที่ชอบขับรถที่มีอายุอานามมาก อาการนี้เกิดจากคลัทช์เองไม่สามารถแยกตัวออกจากล้อช่วยแรง (Fly wheel) ที่ติดอยู่กับเครื่องยนต์ได้ และมันทำให้คุณไม่สามารถเข้าตำแหน่งเกียร์อื่นๆได้ เนื่องจากคลัทช์ยังทำงานอยู่ ซึ่งการฝืนอาจจะทำให้ชุดเกียร์ได้รับความเสียหายได้
น้ำมันเกียร์รั่ว
                เป็นอาการที่ชัดเจนและสามารถเกิดได้ทั้งกับ เกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ  โดยอาจจะเริ่มแค่ซึมๆ ตามห้องเกียร์ แต่อย่ามองข้าม เพราะมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ การที่ชุดเกียร์มีระดับน้ำมันต่ำ อาจทำให้เกิดอุณหภูมิสูงในชุดเกียร์ และพังในท้ายที่สุด แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่การซ่อมก็ไม่ง่ายเพราะ การถอดประกอบเกียร์ต้องมีความชำนาญการไม่ต่างจากเครื่องยนต์

เกียร์ไม่ตอบสนอง
                จะเป็นอย่างไร ถ้าเกียร์ดับสนิทง่ายมากมันจะไม่ตอบสนองเลยน่ะสิ อาการนี้มักพบกับเกียร์อัตโนมัติมากกว่า เมื่อคุณเข้าตำแหน่งที่ต้องการแล้ว กลับพบว่าชุดเกียร์ไม่สามารถเดินหน้า หรือถอยหลังได้ ตายสนิทมันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละบางครั้งในกรณีเดียวกัน อาจจะมีอาการคล้ายคลัทช์หรือเกียร์ลื่น ซึ่งลักษณะดังกล่าวมักจะเจอในเกียร์ธรรมดา

จากอาการทั้งหมดที่กล่าวมาเชื่อว่า หลายคนคงพอจะได้ข้อสังเกตในเรื่องการทำงานของระบบเกียร์ ซึ่งแม้เราหลายคนอาจจะไม่ใช่ช่างก็ตามแต่ก็สามารถเรียนรู้ในการรู้แจ้งปัญหาได้ จะได้เตรียมตัวให้พร้อม

เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง 

การทำงานของเกียร์ อัตโนมัติ

4L30E transmission

สาเหตุที่ต้องเขียนบทความนี้ เพราะมีท่านเจ้าของรถจำนวนมากไม่เข้าใจว่าในเกียร์อัตโนมัติทำงานอย่างไรแบ่งเป็นกี่ส่วนและแต่ละส่วนทำงานอย่างไร เสียหายอย่างไรและจะซ่อมอย่างไร ซ่อมได้หรือไม่ ค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนเป็นอย่างไร ซ่อมแล้วจะหายไหม ดีเหมือนเดิมหรือไม่ ใช้เวลาซ่อมนานไหม ค่าใช้จ่ายขึ้นกับอะไร ราคาเท่าไหร่ มีการรับประกันผลงานอย่างไรเป็นต้น
ผมในฐานะที่อยู่ในวงการซ่อมเกียร์อัตโนมัติมานานกว่า 8 ปีในบ้านเรา และรับงานซ่อมแซมเกียร์ที่มีปัญหาทั้งหนักและเบามากว่าปีละกว่า 120-150 คัน จึงขออนุญาตอธิบายสั้นๆพอเข้าใจในรูปแบบ ถาม-ตอบ( Q & A )ดังนี้


Q1 : เกียร์อัตโนมัติทำงานอย่างไร?
A1 : เริ่มต้นที่เครื่องยนต์ที่จะเริ่มส่งกำลังผ่าน อุปกรณ์สำคัญตัวแรกเรียกว่า ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ( Torque Convertor )ซึ่งเป็นชุดคลัชไฮโดรลิค ( Fluid coupling ) ที่ทำหน้าที่ส่งถ่ายกำลังอย่างนุ่มนวลจากเครื่องยนต์ไปยังห้องเกียร์ ( Transmission Body ) เมื่อห้องเกียร์ได้รับกำลังมาก็จะมีการส่งถ่ายกำลังกันภายในห้องเกียร์ซึ่งส่วนมากระบบเกียร์อัตโนมัติจะใช้เกียร์ระบบแพลตเนตเทอรี ( Planetary Gear set  ) เป็นเกียร์ 1-2-3-4-5 –R ตามความต้องการเครื่องยนต์หรือผู้ขับขี่หรือเป็นไปตามความต้องการของ PCM และ TCM โดยคำสั่งการทำงานนั้นจะผ่านการสั่งงานในระบบไฮโดรลิค ( Hydraulic system ) ภายใน ซึ่งถูกควบคุมมาจากชุดสมองของเกียร์ หรือที่เราเรียกว่า Valve body นั่นเอง
Q2: เกียร์อัตโนมัติแบ่งเป็นกี่ส่วนและแต่ละส่วนทำงานและเสียหายอย่างไร?
A2: เกียร์อัตโนมัติแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนได้แก่
  1. ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ( Torque Convertor) บางครั้งอาจจะได้ยินที่ช่างเรียกว่าลูกฟักทองครับ
  2. ตัวเกียร์ ( Transmission Body หรือ Planetary gears ) คือส่วนของชิ้นส่วนเกียร์ Hard Parts wear part คลัช ลูกสูบเพลา เกียร์ เสื้อ Housing เบรกแบน ฯลฯ ทั้งหมดจะอยู่ภายในห้องเกียร์ครับ
  3. วาล์วบอดี้ ( Valve Body หรือHydraulic Control  ) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สมองของเกียร์อัตโนมัติ
        ฉะนั้นเมื่อเวลาเกียร์เสียหายจะซ่อมแซม เราจะต้องได้ช่างที่มีความรู้ความชำนาญที่จะสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างถูกต้องเสียก่อน ต้องเข้าใจว่าอะไรเสียหายอย่างไร เสียหายที่ไหน และอะไรเป็นสาเหตุของความเสียหายก่อนลงมือซ่อม ประเมินความเสียหาย กำหนดระยะเวลา และค่าใช้จ่าย ลองมาดูตัวอย่างการลักษณะของความเสียหายอย่างง่ายๆก่อน เช่น
        ความเสียหายเฉพาะทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ( Torque convertor) เช่น แผ่นล็อคอัพคลัช สึกหรอจนหมดให้เห็นเนื้อโลหะ  แบริ่งแตก เพลาสึกเป็นรอย น้ำมันรั่ว impeller ฉีก หลุด เพลาสึก ร่องสไปร์สึกหรอมาก สปริง lockup สึก ระยะความเผื่อมากกว่าที่กำหนด เป็นต้น
        ความเสียหายเฉพาะตัวเกียร์ (Transmission Body ) เช่น สึกหรอเฉพาะ แผ่นคลัช ( Friction clutch) แผ่นเหล็ก ( Steel Clutch ) เบรกแบน ( Brake Band) ปลอก แหวน ( Bushing ,Washer) ซีล ( Seal ,Oring , Piston seal)   ประเก็น (Gasket set) ซึ่งอาจจะตามอายุการใช้งานปกติ หรือเรียกอีกอย่างว่า Normal Wear แบบนี้ง่ายครับ แต่หากมีชิ้นส่วนทางกลเสียหายตามไปด้วยเช่น หม้อคลัชฉีก แตก เสียดสีจนเสียหาย เพลาสึกเป็นรอย เพลาคด เป็นต้น ซึ่งปัญหาที่ลุกลามต่อไปเป็นเพราะ เมื่อแผ่นคลัช หรือ wear parts หมดอายุ เราไม่ได้เปลี่ยนหรือทำการซ่อมแซมหรือซ่อมแซมเฉพาะบางจุด เปลี่ยนแผ่นคลัชเฉพาะบางแผ่นเป็นต้น ปัญหาก็ลุกลามต่อไป จนถึงเนื้อโลหะ ทำให้เกิดความความร้อนมากกว่าปกติ สภาพน้ำมันเสียหาย มีเศษโลหะเล็ดลอดเข้าไปในระบบ ทำให้วาล์วบอดี้สึกหรอมากกว่าปกติตามเข้าไปอีกเป็นต้น
            ความเสียหายเฉพาะ วาล์วบอดี้ ( Valvebody ) หากเป็นการเสียหายชำรุดแบบอุปกรณ์ทางอิเลคโทรนิคส์เช่น โซลินอยด์ เซนเซอร์ หรือตัว TCM ( Transmission control Module) ก็ต้องวิเคราะห์จากเครื่องมือพิเศษ Scan Tools เฉพาะรุ่น เฉพาะทาง แต่หากเป็นการสึกหรอทางกลทำให้การรับและจ่ายแรงดันไฮโดรลิคในระบบผิดปกติไปจากที่กำหนด เป็นต้น
automatic transmission hard parts
Q3: แต่ละส่วนจะซ่อมแซมอย่างไร ซ่อมได้หรือไม่ ซ่อมแล้วจะเหมือนเดิมหรือไม่?
A3: 1)งานซ่อมทอร์คคอนเวอร์เตอร์ สามารถซ่อมแซมได้เหมือนเดิม เหมือนใหม่ทุกประการ เรียกว่า Rebuild หรือ Remanufactured ครับ งานแบบนี้ก็ต้องส่งระดับโรงงานซ่อมทอร์คโดยเฉพาะ ( Torque Convertor Repair Or Remanufactured workshop ) ครับ แม่นยำ เที่ยงตรง เชื่อถือได้มากกว่าส่งโรงกลึงเล็กๆทำไปแบบไม่มีความรู้จริง ไม่มีเครื่องอัดผ้าคลัช lockup ไม่มีเครื่องเชื่อมอาร์กอน ไม่มีเครื่องมือถ่วงทำบาลานซ์  ไม่มีเครื่องเช็ครั่ว เป็นต้น อย่างนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ ต้องส่งโรงงานเฉพาะด้านหรือ Torque Convertor Remanufactured ครับ
2)งานซ่อมภายในห้องเกียร์ ก็สามารถซ่อมแซมได้เหมือนกัน แบบ Rebuild หรือ Remanufactured เช้่นกัน เราจะต้องเริ่มจาก สถานที่ที่สะอาดก่อน มีอะไหล่ครบ มีเครื่องมือถอดประกอบเฉพาะรุ่นครบ มีช่างที่มีประสบการณ์ มีตำราครบถ้วนอ้างอิงได้ การซ่อมแซมส่วนนี้ ส่วนมากอู่ทั่วๆไปพอทำกันได้ แต่มักมีปัญหา ตกม้าตาย ตรงที่ไม่สามารถหาอะไหล่หรือ spare parts ได้ หรือหาได้ไม่ครบถ้วน หรือหากพบชิ้นส่วนชำรุดหรือสึกหรอมาก จะไม่สามารถหาอะไหล่เปลี่ยนให้ลูกค้าได้ จำเป็นต้องใส่ของเก่าเข้าไปก่อน ทำให้เกิดปัญหาความไม่สมบูรณ์ของงานประกอบ ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของงานเช่น การ shift ของเกียร์ไม่นิ่มนวล กระตุก กระชาก ความรู้สึกผิดปกติของการทำงาน หรือเกิดปัญหาเกียร์ไหม้อีกครั้ง ซึ่งปัญหาจะตามมามากมายเนื่องจากปัญหาไม่มีอะไหล่นั่นเอง งานซ่อมจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่ท่านต้องเลือกอู่ที่ดีมีมาตรฐานเท่านั้น จึงจะได้งานออกมา 100% ครับ
3)งานซ่อมสมองหรือ valve body นั้นเป็นงานที่มีความสำคัญมาก เป็นงานที่ช่างซ่อมเกียร์ในบ้านเรา ยังคาใจมานานมาก เพราะไม่สามารถหาเครื่องมือตรวจสอบได้ ไม่สามารถหาเครื่องมือซ่อมแซมได้ หรือทำได้ก็ทำได้บางจุดทำให้ไม่ครบถ้วนไม่ได้
Transmission rebuild machine shop
ไม่สามารถตอบได้ 100% ว่าชัวร์หรือไม่ อย่างมากทำได้แค่ล้างทำความสะอาดเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนเปลี่ยนspring ปรับแต่งค่าแรงดันใหม่ไม่ได้ หรือทำได้อีกอย่างก็วัดความต้านทานของโซลินอยด์เท่านั้น งานซ่อมวาล์วบอดี้เป็นงานที่ต้องการความรู้ความใจของช่างซ่อมเกียร์ระดับเซียนเท่านั้น วันนี้ต้องมีเครื่องมือพิเศษเครื่องตรวจสอบ ทดสอบ เครื่องมือในการซ่อมราคาแพงมาก เทคนิคสูงมาก ในวันนี้ หากเรามีปัญหาเกียร์ที่เกิดจาก valve body เราจึงแนะนำให้ท่านเปลี่ยน Valvebody - Reman ดีกว่า มั่นใจกว่า เพราะท่านคงไม่สามารถลองผิดลองถูกได้ตลอดไป กับการใส่เข้าไปแล้วถอดออกอีก เพราะงานล้างไม่สามารถแก้ไขปัญหาการสึกหรอหรือการทดสอบฟังก์ชั่นการทำงานของ valvebody กับ PCM/TCM ได้ 100% นั้นเอง

Q4: ค่่าใช้จ่ายในการซ่อมแต่ละส่วนเป็นอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหน และจะหายไหม หรือมีการรับประกันผลงานซ่อมอย่างไร
A4: ค่าใช้จ่ายและการรับประกันแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเช่นกันดังนี้
  1. เรื่องทอร์ค แยกออกไปเลย โรงงานของเราซ่อมแบบส่งออกได้เลยคุณภาพชัวร์ที่สุด ราคาดูที่นี่ และการรับประกันผลงาน นานกว่า 12 เดือน หรือ 30,000 กม >>>>
  2. เรื่องภายในห้องเกียร์ ซ่อมที่เรา เรารับประกันคุณภาพ และชิ้นส่วน ทุกชิ้นผ่านตามาหมดราคาต้องดูความเสียหายภายในก่อนเป็นหลัก  ตอบเวลานี้เร็วเกินไป ส่วนมากลุกค้าใจร้อนก็ต้องว่าแบบเหมาซึ่งบางที่ก็แพงหรือถูกกว่าที่ควรจะเป็น ราคาคร่าวๆจะอยู่ประมาณ 20,000-50,000 บาทขึ้นกับยี่ห้อ รุ่น ความเสียหายเป็นหลักครับ
  3. เรื่อง valve body หากเสียหายชำรุด อย่าซ่อมเอง เสียดายของ ซื้อใหม่แบบ Reman ดีที่สุด ถูกกว่าซื้อใหม่ทั้งตัวจากห้างกว่า 30% แน่นอน( เพราะหากแพงกว่าก็ซื้อของใหม่ดีกว่าจริงไหมครับ)
         ที่สำคัญที่สุด ที่ลูกค้าอยากทราบคือ ซ่อมแล้วเหมือนเดิมหรือไม่ ตอบว่ารับประกันเหมือนเดิม100% แน่นอน แต่ต้องให้เราซ่อมให้นะครับ ไปซ่อมที่ไหนมาแล้วจะให้เหมือนเราทำนั้นไม่มี ยกเว้นท่านซื้อเกียร์แบบ Reman จากห้างเท่านั้นครับ ซึ่งราคาซ่อมแบบ Reman ของ FORCE จะถูกกว่าของห้างประมาณ 30-40%
ยกตัวอย่างเช่น
VOLVO S80 Remanufactured หรือที่เรียกว่าเกียร์แอกเชนจ์ ( Exchange ) ราคาห้างพร้อมติดตั้งและน้ำมันเกียร์ อยู่ที่ประมาณ 170,000 บาท ราคาของเราอยู่ที่ 95,000 บาทเท่านั้น แต่หากท่านต้องการรับประกันเฉพาะงานซ่อม Trans Body และ Torque Convertor ไม่รวม valve body ราคาก็จะอยู่ที่ 60,000บาท เท่านั้น
          และสุดท้ายงานซ่อมเกียร์จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 3-5 วันขึ้นกับลักษณะความเสียหายและอะไหล่มีสำรองคลังเลยหรือไม่ด้วยนะครับ หากเราไม่มีอะไหล่ก็ต้องรอ โดยปกติหากต้องรออะไหล่เต็มที่ก็ประมาณ 15 วันครับ
คิดว่าท่านเจ้าของรถ คงพอจะได้แนวคิดเรื่องการซ่อมเกียร์อัตโนมัติพอสมควรนะครับ
หากมีข้อสงสัยประการใดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อที่บริษัทฯหรือที่ผมได้โดยตรงครับ

ขอขอบคุณ  ที่มา :  
วิสรัส เอี่ยมประชา 
วุฒิวิศวกรเครื่องกล วก.829
FORCE Transmission
www.gmcworkshop.com

คิดจะวาง m42 M44

M42 and M44

ผมเลยนึกได้ว่า มีบทความหลาย ๆ ตัวที่เคยอ่าน ทั้งที่มีเก็บไว้เป็นต้นฉบับบ และ เก็บไว้ในความทรงจำ จึงขอหยิบมาเล่าให้เพื่อน ๆ ที่สนใจ ได้รับรู้กัน ผิดถูกประการใดต้องขอผู้เชี่ยวชาญ แก้ไขด้วยละกันครับ

เกริ่นนิดนึง ก่อนเป็น M42/M44

เครื่องรหัสM ของ BMW นั้นมีหลัก ๆ สองแบบครับ คือ 4 และ 6 สูบ แถวเรียง เริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัย 1960 โดย M นั้น คาดว่า ย่อมาจาก MOSKVITCH ยี่้ห้อรถในรัสเซีย โดยมีอยู่รุ่นหนึ่งที่ BMW เอามาพัฒนาต่อ โดย เครื่อง M ตัวแรกที่โผล่ขายในบริษัท คือ M10 และก็ออกลูกออกหลานมากมาย และ สองตัวในนั้นคือ M42/M44 ที่ผมจะกล่าวถึงครับ

M42/M44 นั้น พื้นฐานก็มาจาก M40 ใน E30 ตัวแรก ๆ ทั้งคู่เป็นเรื่อง DOHC 16V ที่มีความจุ 1796/1896cc โดย M42 จะมีแรงม้า สองเวอร์ชั่น 136 140 และ M44 มี 138 แรงม้า ซึ่งน่าแปลกที่เครื่อง M44 ที่เกิดทีหลังดันมีแรงม้าน้อยกว่า

M42 นั้นเปิดตัวครั้งแรกกับรถ BMW 3 Series E36 โดยประจำอยู่ใน 318i รหัสเต็ม ๆ คือ M42B18 (M40 ที่ลากข้ามรุ่นมาตั้งแต่ E30 และได้มีการปรับเปลี่ยนสายพาน เป็น โซ่ราวลิ้น เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ออกไป โดยไม่้ต้องมารื้อชุดพัดลมหน้าเครื่อง และฝาครอบด้านหน้า ซึ่งลดปัญหาการรั่วซึมของน้ำมันเครื่องจากการประกอบกลับที่ไม่ดีไปได้ และ เครื่องตัวนี้ก็ได้รับการเปลี่ยนจาก OHC มาเป็น DOHC พร้อมกันนี้ก็มีการเปลี่ยนชุด Hydrauric Tappet (ชุดตั้งระยะห่างวาวล์ว) ใหม่ เป็นแบบ ซ่อมไม่ได้ คือเปลี่ยนทั้งตัว มี 16 ตัวด้วยกัน (ขออธิบายละเอียดในภายภาคหน้าเรื่อง Tappetsหรือ Valve Lifter )

ด้านการจ่ายน้ำมัน M42 ใช้เป็น ชุดหัีวฉีดตรง (Direct ignition) EFI โดย BOSCH เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และ การประหยัดมากขึ้น พร้อมกับกำลังอัดเป็น 1:10 (M40 1:9.6)

นอกจากนี้มีการใช้ วัสดุทำเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อลดน้ำหนักรวมทั้งหมด โดยเลือกเอา Alusil มาทำเครื่องยนต์์ และเป็นเหตุผลให้ใช้น้ำมันเครื่องบางยี่ห้อเท่านั้นที่จะปกป้องเจ้าเสื้อสูบตัวนี้ได้อย่างเหมาะสมในสมัยนั้น


ปัญหาหลัก M42

ในยุคที่BMW พัฒนาเครื่อง M42 นั้นเริ่มมีการประท้วงให้บริษัทรถยนต์ เลิกใช้วัสดุที่มี Asbestos (ใยหิน)เป็นส่วนประกอบเคร่งครัดขึ้น ซึ่งบริษัทBMW ต้องเลือกใช้ประเก็นต่าง ๆ เช่น ฝาสูบ ฐานกรอง หน้าเครื่อง เป็นแบบที่บริษัทเองก็ไม่เคยลองมาก่อน ผลก็คือประเก็นเหล่านั้น รั่ว ก่อนวัยอันควร (เฉพาะปีก่อน 1993) ลูกค้าบ่นมากมาย ปัญหานี้เอง ได้ถูกแก้ไขในเครื่องรุ่นต่อไปคือ M42 ตัวหลังปี 93 , M43(อันนี้มีติดมาบ้างเพราะทำขนานกันไป), M44 และ M43TU เพิ่ม M42B18 ที่มาก็คือ M42 รหัสเครื่อง B = Benzine และ 18 คือ 1.8 ลิตรนั่นเอง

วัสดุทำเครื่องยนต์ ผมก้าวข้ามไปนิด จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ ALUSIL ทั้งหมด แต่เป็น Pearlitic gray cast iron สำหรับตัวเสื้อสูบ ALUSIL อยู่ในเครื่องเฉพาะ ส่วนของ ฝาสูบ และ มีมากขึ้นสำหรับตัวลูกสูบในเครื่องรุ่นต่อไปแต่ไม่ใช่รุ่นนี้ ดังนั้นการ Maintenance ส่วนของเครื่องท่อนบน ต้องทำกันอย่างระวังมาก ๆ เช่นการถอดวาล์ว เปลี่ยนประเก็น หรืออะไรก็ตามที่ต้องไปแตะกับ ฝาสูบ หากพลาดไปทำร้ายส่วนสำคัญเพียงนิด ปัญหาที่เกิดขึ้นนานเกินคาดเดา (จริง ๆ ก็เดาได้ครับ ว่า พัง แหง ๆ )

ตัวบล๊อกเครื่องเอง จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าจะเอา M40 มาทั้งชุด แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็น ชุดเสื้อสูบแบบหลุมสูบแฝด คือ ห้องสูบติดกันนั่นเอง (ลดความยาวเครื่องลง) และเป็นเครื่องรถยนต์รุ่นแรก ๆ ทีมีการสร้างชุดฉีดน้ำมันหล่อลื่นเป็นฝอยฝังไว้ในเสื้อสูบเลย สำหรับระบายความร้อนให้ลูกสูบด้วย (อันนี้รถญี่ปุ่น และ ยุโรปหลาย ๆ รุ่นหลัง ๆ เอาไปใช้หมด )

ชุดวาล์วของ M42 นั้น ในตัววาล์วไอเสียมีการใช้วัสดุที่เรียกว่า Sodium หรือเรียกว่า Sodium filled valve เป็นการลดความร้อนและยืดอายุของวาล์วอีกด้วย สุดยอดเทคโนโลยีปี 1989 กับรถตลาด ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะการใช้Sodium filled สำหรับรถยี่ห้ออื่น ๆ นั้น จริง ๆ จัง เมื่อปี 200x นี่เอง ล่าสุด Nissan Juke ก็เอา เทคโนโลยีSodium filled มาใช้ในตัวแรงนั้นด้วย (อันนี้ผมเห็นในโฆษณาเปิดตัวของJuke หรือ Presentation ซักแห่ง ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัย ฝากเพื่อน ๆ ตรวจสอบอีกครั้ง )
M42 นั้น มีการนำไปพัฒนาเป็นเครื่องรถแข่งด้วย เรียกว่า S42 (M คือเครื่องที่พัฒนาด้วย BMW เพื่อการขาย และ S พัฒนาเพื่อการแข่ง จะทำด้วยใครก็แล้วแ่ต่) โดยบล๊อกเครื่องเดียวกัน แต่รีดแรงม้าได้ถึง 315 แรงม้า ด้วยการเพิ่มขนาดสูบเป็น 2000cc และแน่นอนกำลังอัดเป็น 12:1 ใช้ระบบป้อนน้ำมันหล่อลื่น Dry Sump
ฝาวาล์ว และ ฝาครอบกล่องอากาศเป็นแบบ คาร์บอนไฟเบอร์

และที่ทำให้แรงม้าเพื่อมากมาย คือการจ่ายน้ำมันด้วยชุดจ่ายน้ำมัน 8 ตัว เพราะ 4 ตัวเดิม ๆ คงให้น้ำมันไม่พอ พร้อมกับการเพิ่ม ลิ้นปีกผีเสื้อ ให้แต่ละสูบแยกจากกันอีกด้วย (คิดได้งัยเนี่ย มีลิ้นปีกผีเสื้อ 4 อัน)

S42 นี่เองคือแนวทางการแต่งและโมเครื่องของ M42 ที่หลาย ๆ คนคิดว่ามันคงมีม้าไปมากกว่านี้ไม่ได้ โดยไม่ใช้ TURBO (ทำไมไม่ใช้หว่า ? จะได้แรงกว่านี้ีอีกเยอะ)

สรุปอายุการใช้งานของ M42 ได้ โดยสังเขปดังนี้

1989 - 1991 ใช้กับ E30 จุด กำเนิด ของ BMW M42 สี่สูบแถวเรียง 16V
1992 - 1996 ใช้กับ E36 ต่อเนื่องกันมาจาก E30 แต่มีการแ้ก้ไขปัญหาวัสดุจำพวกประเก็นที่กล่าวไว้ข้างต้นจริง ๆ เมื่อ ปี 1993 และ ยังมีการใช้พลาสติกในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องมากขึ้นด้วย


จบในส่วน ของ M42 เดี๋ยวมาต่อ M44 ครับ ขออภัยช้าหน่อย เขียนสด
ทบทวนดูแล้ว นึกได้ว่า

M42 มีสองเวอร์ชั่น (เขียนเองลืมเอง ) คือ 136แรงม้า คือตัวที่กล่าวมา และ 140 ที่ถูกลืม(ผมลืม คนอื่นอาจจะไม่ลืม)

การเปลี่ยนแปลงของเครื่อง เริ่มต้นเมื่อปี 1994 รวมในส่วนของวัสดุประเก็นแล้ว ดังรายการต่อไปนี้

1. สิ่งแรกที่มองเห็นเลย คือ ชุดจ่ายไฟให้กับ หัวเทียน หรือ คอยล์หัวเทียนแบบชิ้นเีดียว ที่เป็นสีดำ ๆ ก้อนเหลี่ยม ๆ นั่นเอง จากเดิมที่เป็นแบบตัวแยก เปลี่ยนมาเป็นตัวร่วมสี่เหลี่ยมผืนผ้า และถูกนำไปใช้ต่อในรุ่นอื่น ๆ ด้วย คนที่ใช้ M43 คงนึกภาพตัวใหม่นี้ออกว่าอยู่ใกล้ๆ ซุ้มโช๊คด้านหน้าขวาของรถ มองเห็นได้ชัดเจน หากใครต้องการ M42 ตัวใหม่

2.การระบายแรงดันในห้องแครงใหม่่ด้วยชุดระบายใหม่ เป็นแบบจานกลม ๆ ที่อยู่ใต้ท่อร่วมไอดี มองไม่เห็นถ้าไม่ถอดท่อร่วมออก หรือ ต้องมองตะแคง ๆ เอา ใครไม่เคยเห็นตัวเก่า ก็คงบอกได้ยาก

3. ก้านและท่อวัดระดับน้ำมันเครื่องเป็นแบบงอกว่าเดิม ย้ายไปหลบ PCV นั่นเอง

4. ไดชาร์จใหม่ 80 A จากเดิม 70 A

5. เปลี่ยนหม้อกรองอากาศเป็นแบบใหม่ ที่มีรูปร่างเป็นห้าเหลี่ยมคางหมูเบี้ยว ๆ นั่นแหละครับ ตัวเก่าเป็นลูกสี่เหลี่ยม ทรงผืนผ้าปลายแหลมยาว ๆ

6. สายพานสำหรับ แอร์ และไดชาร์จเป็นแบบ V หลาย ๆ ร่องแล้ว

7. หัวฉีดน้ำมันแบบมีช่องอากาศเพื่อให้อากาศไปผสมกับน้ำมัน อันนี้เป็นความต้องการของมาตรฐานไอเสียตัวใหม่ EURO 2 โดย M42 ตัวแรกผลิตด้วยเงื่อนไข EURO 1 เพราะ EURO 2 บังคับใช้จริง ๆ เมื่อปี 1996 แต่ M42 ทำเผื่อไปเลย 2 ปี (จริง ๆ แล้ว ปี 1994 กลุ่ม EURO ก็แจ้งมาตรฐานใหม่ให้ผู้ผลิตแล้วครับ)

8. ในเมื่อมีมาตฐานไอเสียใหม่ ก็ต้องมี ชุดการจ่ายน้ำมันเวอร์ชั่นใหม่ด้วย คือ 1.72 จากเดิม 1.7

9. ขนาดของ คอมเพรสเซอร์แอร์เล็กลง ใ้ช้พลังงานน้อยลง

เห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แรงม้าเพิ่มขึ้นมาอีก 4 ตัว และได้ไอเสียน้อยลง ประหยัดน้ำมันขึ้นอีกด้วย

ครับ จบจริง ๆ กับ M42

M44

เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อปี 1995 แต่ถูกขายจริง ๆ จัง ๆเมื่อปี 1996 โดยถูกนำไปใช้กับ 3 Series และ Z3 ถ้าดูปีเกิดมันแล้ว มันจะตกในช่วงปีที่ EMISSION EURO 2 ประกาศใช้เต็มที่ ซึ่งการความต้องการของ BMW เองต้องการทำเครื่องที่มี แรงม้า เยอะขึ้น แรงบิดมากขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น และไอเสียต่ำลง (ไอเสียต่ำลงนี่อาจจะไม่ใช่ความต้องการของ BMW ก็ได้)

M44 จึงถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้สเปคเครื่องยนต์ที่มีปริมาตรกระบอกสูบ 1895cc (อาศัยพัฒนาร่วมกับ M43TU prototype) แรงบิดเพิ่มขึ้น 5 Nmที่รอบต่ำกว่า M42 200 รอบต่อนาที และยังมีต้นตระกูล เดียวกันM42 การเปลี่ยนแปลงนอกจากขนาดกระบอกสูบแล้ว ข้อเหวี่ยงยังใช้เป็นแบบหล่อขึ้นแทนที่จะใช้เหล็กชุบถ่วงน้ำหนักสมดุลย์แบบเดิม ทำให้เพลาข้อเหวี่ยงมีน้ำหนักลดลงเพราะไม่มีตุ้มถ่วงน้ำหนัก (ไม่ได้ว่าคนชื่อตุ้มอ้วนนะครับ)อีก 8 ตัว แต่ใช้การหล่อไปด้วยกันเลยทีเดียว หากใครใช้ M42 แล้้วต้องมีโอกาสเปลี่ยนเพลาข้อเหวี่ยง สังเกตให้ดีว่าเพลาข้อเหวี่ยงมีตัวถ่วงอยู่ครบหรือไม่ (ในกรณีซื้อเพลามือสองมา)

ลูกสูบมีการออกแบบหน้าตาเป็นแบบใหม่เพื่อการลดเสียง และ การสั่นสะเทือน อีกทั้งยังกินแรงในการดันขึ้นลง น้อยลงอีกด้วย และยังลดแรงเสียดทานรวมถึง 70% เป็นการเพิ่มประิสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในทางหนึ่ง มากไปกว่านั้น มีคนทำลูกสูบขายสำหรับรถรุ่นนี้เพื่อการติด Turbo ออกมาอีกด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการความแรงแบบอัดอากาศ

การใช้วาล์วสปริงแบบ ทรงกรวย แทนแบบ ทรงกระบอก เ้พื่อให้ความมีความแข็งแรง แต่ยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการเปลี่ยนแปลงรอบความเร็วแบบทันทีได้มากกว่า ไม่ว่าจะร้อน หรือ เย็น


เพื่อแก้ปัญหาเสียงดังจากโซ่ราวลิ้นใน M42 มีการเปลี่ยนตัวดันสายพานเป็นแบบร่องนำ ใน M44 และยังเป็นการยืดอายุการใช้งานโซ่ราวลิ้นของเครื่องอีกด้วย

กล่องการจ่ายน้ำมันด้วย DMEเวอร์ชั่นใหม่ 5.2 แทนที่ 1.72 เพื่อความเหมาะสมกับขนาดลูกสูบ และกำลังอัดใหม่

มีการลดเสียงท่อร่วมด้วยการใช้ ท่อแบบไขว้ และ ยังมีการใส่กล่องเก็บเสียงที่หม้อกรองอากาศ (อย่าถอดออกเลยครับ เงียบ ๆ แหละดีแล้ว)

ส่วนของเพลาลูกเบี้ยว แทนที่จะเป็นประกับจับบนฝา ก็มี ลูกปืนเพื่อการหมุนเข้ามาอีก ลดแรงเสียดทาน และเสียงจาก ชุดเพลาลูกเบี้ยวนี้

ระบบวัดปริมาตรอากาศ เปลี่ยนจาก Air Flow Meter ที่เป็นกลไกฝาเปิดสปริงหมุนความต้านทาน เป็น Mass Air Flow ใช้แผ่นfilm วัดอากาศ

DISA ที่สามารถปรับทางเดินของอากาศสั้นยาวได้ โดยเรียกรอบได้เร็วมากถึง 6000 รอบ

แม้การเปลี่ยนแปลงมากมาย จะเกิดขึ้นบน M44 แรงบิดสูงสุดจะมากขึ้น ที่รอบน้อยลง แต่ แรงม้ากลับหายไปถึง 2 ตัวเทียบกับ M42 ตัวล่าสุด สาเหตุง่าย อธิบายปรากฎการณ์นี้คือ EURO 2 นั่นเอง เพราะหากจะเค้นกันจริง ๆ เครื่อง M44 จะมีแรงม้าถึง 175 เพียงแค่คุณหา Chip ที่มาใส่ใน DME ก็จะไ้ด้แรงม้าที่มาพร้อม CO/HC มากกว่าเดิม โดยไม่ต้องทำอะไรกับเครื่องแม้แต่น้อย

รวม ๆ แล้ว อาจจะเหมือนว่า M44 นั้นเป็นเครื่องที่ น่าจะ สุดยอดมาก ๆ เพราะเล่นเอาเทคโนโลยีทั้งทางกล และทางไฟฟ้า คอมพิวเตอร์มาใช้มากมาย ทั้งยังทำให้เครื่องเงียบ และเบาลง ได้กว่า M42 อีกด้วย

แต่ M44 ก็เกิดอาการแป๊ก มากมาย เพราะตัวเครื่องเอง นั้น ใส่อะไรใหม่ ๆ เข้าไปมากเกิน เช่น BOSCH M 5.2 ก็ไม่มีช่างที่ไหนในยุคนั้นปรับตั้งได้หากมีการเปลี่ยนชุดตั้งวาล์ว หรือ หัวฉีดใหม่ และปัญหาของ ชุดตั้งวาล์วใหม่ ที่มักจะกดแล้วไม่ขยับตัวทำให้เครื่องสะดุดรุนแรงได้อีก ยังมีปัญหา Recall เนื่องจากวัสดุต่าง ๆ ของเครื่องเช่น ข้อเหวี่ยงต๊อก ๆ สูบ น้ำมันรั่วจากลูกปืนเพลาลูกเบี้ยว
ทำให้ M44 ไม่ไปต่อใน 3 Series รุ่นต่อไป ดับลงไว้เพียง Z3 และ e36

และท้ายสุดที่ต้องดับกันไปตาม ๆ กัน คือ มาตรฐาน EURO 4 เพราะด้วยเทคโนโลยีนี้ คงไม่สามารถเค้นแรงม้าเยอะๆ โดยผ่าน Euro 4 BMW จึงหยุดโครงการ M4X ไว้
สรุปช่วงอายุ M44
1996 -2001 E36 และ Z3
ตอนนี้ใช้ M42 อยู่อัตราเร่ง 1-100 - 11วิ ปลายได้มากสุดที่ล้อ 18+LPG - 210 ขึ้นสบายๆที่ 160 หลัง 180 อืดหน่อยแต่ไปได้ การประหยัดแน่นอนมากกว่าเครื่อง 6 สูบ อัตราเร่งต้นอาจไม่ทันใจเท่า 6สูบ แต่ M42 ก็พังยากกว่าเยอะ

ปล. M42 กับ M44 แรงม้าเท่ากันหมดเปลี่ยนแค่มอเตอร์เดินเบามาข้างหน้าและจุกจิกนิดหน่อย M42 จะอยู่ในช่วงปี 93 (บอดี้ E36 คูเป้ เท่านั้น) M44 จะอยู่ในช่วงปี 97ขึ้นไป (และในบอดี้คูเป้เท่านั้น) หากเจอเครื่องสองตัวนี้อยู่ในบอดี้ E36 4ประตูแสดงว่าเค้าไปเปลี่ยนเครื่องมาครับ 4ประตูจะได้แค่ M43 แต่หลังปี 97ขึ้นไปจะเปลี่ยนระบบใหม่คล้ายๆ M44

ที่ว่า M44 อยู่แค่ในCoupe นั้น เฉพาะเมืองไทยครับ ต่างประเทศ มีเครื่องรุ่นนี้ใน Sedan ด้วย ก็ไม่แปลกหากเจอหัวเซียงกงที่มาพร้อม M44

เครดิตคุณ Crayonz จาก www.pantip ครับ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์แก่สมาชิกขออนุญาต copy มาแก้ไขใหม่นิดนึงครับ

คู่มือเดินสายไฟ BMW ทุกรุ่น

http://wedophones.com/BMWManualsLead.htm